Latest News

Tech stocks
Food stocks

สาระน่ารู้

สุขภาพ

แฟชั่น

ท่องเที่ยว

Recent Posts

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ลงทุนแบบไม่ต้องคิดเยอะ! VT ETF ตัวเดียวจบทั้งโลกสำหรับมนุษย์เงินเดือน

 


VT ETF: กองทุนเดียวจบสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่อยากลงทุนทั่วโลกแบบไม่ต้องคิดเยอะ

ในยุคที่เศรษฐกิจโลกผันผวน หุ้นสหรัฐขึ้นแรงเป็นพัก ๆ จีนชะลอตัว ยุโรปโตช้า ทำให้หลายคนเริ่มมองหากลยุทธ์การลงทุนที่ กระจายความเสี่ยง และไม่ต้องคอยปรับพอร์ตตลอดเวลา โดยเฉพาะ “สายมนุษย์เงินเดือน” ที่ทำงานหนักทั้งวัน ไม่มีเวลาติดตามข่าวการเงินแบบลึก ๆ

หนึ่งใน ETF ที่ตอบโจทย์ที่สุดตัวหนึ่งคือ VT – Vanguard Total World Stock ETF
ETF ที่ถูกออกแบบให้ “ลงทุนทั่วโลกในกองเดียว” และยึดแนวคิดสำคัญอย่าง ซื้อโลกทั้งใบ (Buy the World)



VT คืออะไร และทำไมถึงเหมาะกับมนุษย์เงินเดือน?
VT คือ ETF ที่ลงทุนในหุ้นกว่า 9,000+ ตัวทั่วโลก ครอบคลุมทั้ง
หุ้นสหรัฐประมาณ 60%
หุ้นนอกสหรัฐ (ยุโรป ญี่ปุ่น จีน อินเดีย ฯลฯ) อีกประมาณ 40%
รวมทั้งตลาดพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ในพอร์ตเดียว
พูดง่าย ๆ คือ ถ้าคุณซื้อ VT เหมือนคุณซื้อธุรกิจใหญ่ ๆ ทั่วโลก ตั้งแต่ Apple, Microsoft, Nvidia, Toyota, Nestlé, Alibaba ไปจนถึงหุ้นอินเดียและบราซิลที่กำลังเติบโต

สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ ไม่มีเวลาเลือกหุ้นทีละตัว หรือไม่รู้จะเลือกประเทศไหนดี การถือ VT เหมือนตั้งพอร์ตแบบ “อัตโนมัติ” ที่ทำงานให้เราเอง 24 ชั่วโมง



ทำไมมนุษย์เงินเดือนควรพิจารณา VT?
1) ไม่ต้องเลือกประเทศเอง
ไม่ต้องคิดว่า “ปีนี้อเมริกาจะดีไหม?” หรือ “จีนจะฟื้นเมื่อไร?”
VT กระจายไปทุกภูมิภาคให้เรียบร้อย

2) ความเสี่ยงสมดุลกว่าเน้นอเมริกาล้วน
VOO หรือ QQQ ผลตอบแทนสูงจริง แต่ผันผวนสูงและพึ่งพา Big Tech หนัก
VT ลดความเสี่ยงด้วยสัดส่วนหุ้นทั่วโลก

3) เหมาะกับการถือยาวมาก ๆ
ETF ประเภท “Total World” ถูกออกแบบให้เป็นพอร์ตหลักสำหรับการออม-ลงทุนระยะยาว 10–20 ปี
มนุษย์เงินเดือนที่ต้องการ “เก็บเงินไปเรื่อย ๆ ทุกเดือน” จะเหมาะมาก

4) ค่าธรรมเนียมถูก (Expense Ratio 0.07%)
ถูกกว่า 99% ของกองทุนรวมทั่วไปในไทย
พอถือยาว 10–20 ปี ค่าธรรมเนียมที่ประหยัดได้จะต่างกันมหาศาล

5) ซื้อทีเดียวจบ ไม่ต้องจัดพอร์ตเอง
ไม่ต้องคิดว่า
หุ้นสหรัฐกี่ %
หุ้นเอเชียกี่ %
Emerging Markets
VT ทำให้ทั้งหมดเป็น “One-Stop ETF”

ผลตอบแทนคาดหวังของ VT แบบเป็นธรรมชาติ
ในระยะยาว VT เติบโตเร็วพอสมควร แต่ไม่เร็วเท่า ETF ที่เน้นเฉพาะสหรัฐอย่าง VOO
ผลตอบแทนเฉลี่ยตามประวัติประมาณ 7–9% ต่อปี (ขึ้นกับรอบตลาดโลก)

เหมาะกับคนที่ต้องการ
✔ ความมั่นคง
✔ ความเสี่ยงปานกลาง
✔ ไม่ต้องคอยลุ้นตลาดใดตลาดหนึ่ง

ตัวอย่างพอร์ตของมนุษย์เงินเดือนที่ใช้ VT
แบบง่ายที่สุด (สายไม่คิดเยอะ)
100% VT
ลงทุนเดือนละ 3,000–10,000 บาท ถือยาวไปเลย

แบบสมดุล (อยากให้สหรัฐมีน้ำหนักขึ้น)
70% VT + 30% VOO
เหมาะกับคนที่เชื่อในเศรษฐกิจสหรัฐ แต่ก็อยากได้สัดส่วนทั่วโลก

แบบเน้นรายได้ปันผล
70% VT + 30% SCHD
กระจายทั่วโลก + ได้กระแสเงินสดจากหุ้นปันผลคุณภาพสหรัฐ

📦 VT เหมาะกับใครบ้าง?
✔ มนุษย์เงินเดือนที่ ไม่มีเวลา วิเคราะห์ตลาด
✔ คนที่ต้องการ “พอร์ตเดียวจบ”
✔ มือใหม่ที่ไม่อยากปวดหัวเรื่องจัดสัดส่วน
✔ คนที่อยากถือยาว 10–20 ปี แบบการออมระยะยาว
✔ คนที่อยากลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงสูงสุด
ถ้าคุณทำงานทุกวันจนไม่มีเวลาตรวจพอร์ต บอกเลยว่า VT คือเพื่อนคู่ใจที่ดีมาก

❗ ข้อควรระวังของ VT
โตช้ากว่า VOO หรือ QQQ ในช่วงที่หุ้นสหรัฐนำตลาดโลกตลาดเกิดใหม่ (EM) ผันผวน ทำให้พอร์ตตกได้บางปีไม่เหมาะกับสายเก็งกำไรหวังพุ่งแรง แต่สำหรับคนทำงานที่ต้องการ ความสบายใจถือยาว — VT คือหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุ

VT = กองเดียวถือหุ้นทั้งโลก
เหมาะกับมนุษย์เงินเดือนที่ไม่อยากจัดพอร์ตเอง อยากประหยัดเวลา และต้องการลงทุนระยะยาวอย่างมีวินัย ถ้าคุณอยากลงทุนแบบง่ายที่สุด แต่ได้ผลลัพธ์ดีในระยะยาว VT คือคำตอบที่ใช่ และยังเป็น ETF ที่ Vanguard ออกแบบมาสำหรับนักลงทุนทั่วโลกจริง ๆ

วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ไมโครซอฟท์–เอ็นวีเดีย ร่วมทุ่มพันล้าน ดึงแอนโทรปิกชิงตำแหน่งผู้นำเอไอระดับโลก


ในเหตุการณ์ที่ถือเป็นหนึ่งในดีลใหญ่แห่งยุคเทคโนโลยีของปีนี้ Microsoft (ไมโครซอฟท์) และ Nvidia (เอ็นวีเดีย) ประกาศการลงทุนรวมกับ Anthropic (แอนโทรปิก) สตาร์ท-อัพด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยทั้งสองบริษัทพร้อมทุ่มเงินพันล้านดอลลาร์เพื่อร่วมสร้างพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ ซึ่งนับว่าเป็นการพลิกโฉมวงการ AI ไปอีกขั้น (ข้อมูลอ้างอิง microsoft)


เหตุการณ์สำคัญ

– Anthropic ได้ประกาศที่จะใช้บริการคลาวด์ของ Microsoft ผ่านแพลตฟอร์ม Azure โดยมีมูลค่าการซื้อใช้บริการคอมพิวต์สูงถึง 30 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงความต้องการ “แถวหน้า” ของทรัพยากร AI ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และคลาวด์อย่างชัดเจน 

– ทาง Nvidia ได้ตกลงลงทุนกับ Anthropic สูงสุดถึง 10 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ Microsoft ลงทุนสูงสุดถึง 5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อเข้าร่วมรอบการระดมทุนถัดไปของ Anthropic และติดตั้งการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ระหว่างฮาร์ดแวร์-โมเดล-ระบบคลาวด์ 

– ความร่วมมือนี้ยังรวมถึงการออกแบบร่วมกันระหว่าง Anthropic กับ Nvidia ให้โมเดลของ Anthropic ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพบนสถาปัตยกรรมของ Nvidia โดยเฉพาะระบบ Grace Blackwell และ Vera Rubin ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์ระดับสูงของ Nvidia 




ทำไมดีลนี้ถึงมีนัยยะสำคัญ
ขยายความแข็งแกร่งทางด้านคลาวด์ – Microsoft ได้ยืนยันว่าโมเดล Claude ของ Anthropic จะถูกให้บริการบน Azure พร้อมเสริมในชุด Copilot และ GitHub Copilot ทำให้บริษัทเข้าสู่การแข่งขันในตลาดโมเดลดีฟต์อย่างจริงจัง 
ชิป AI และฮาร์ดแวร์เป็นหัวใจ – Nvidia ในฐานะผู้ผลิตชิป AI ระดับโลก กำลังถูกดึงเข้าไปในเครือข่ายผู้ใช้งานและผู้พัฒนาระบบโมเดลโดยตรง ซึ่งช่วยยกระดับ “ความต้องการ” ของฮาร์ดแวร์ AI อย่างมาก 
ลดการพึ่งพาเจ้าเดียว – Analysts มองว่าดีลนี้เป็นสัญญาณว่า Microsoft และ Nvidia ต้องการลดการพึ่งพา OpenAI เพียงบริษัทเดียวในฐานะคู่ค้าหลักด้านโมเดล AI 

โอกาสและความเสี่ยง
– โอกาส: Anthropic ที่มีโมเดล Claude เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดองค์กร จะได้พลังสนับสนุนด้านคลาวด์และฮาร์ดแวร์ ซึ่งอาจเร่งการใช้งานโมเดลในธุรกิจและหน่วยงานใหญ่ๆ
– ความเสี่ยง: มีการตั้งคำถามว่าดีล “หมุนวน” ระหว่างบริษัทใหญ่แล้วซื้อใช้บริการกันเอง จะส่งผลต่อความเป็นกลางของการแข่งขันหรือไม่ รวมถึงความกังวลเรื่อง “ฟองสบู่ AI” ที่อาจเกิดขึ้นได้

ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
– Anthropic จะกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักที่โมเดลของตนให้บริการบนสามผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ทั่วโลก (Azure + AWS + Google) ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของระบบนิเวศโมเดล AI สำหรับองค์กร 
– Microsoft จะได้ตำแหน่งที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในตลาด Enterprise AI โดยมีทางเลือกโมเดลหลายรูปแบบให้ลูกค้า
– Nvidia ยิ่งมั่นใจในตำแหน่งผู้ผลิตชิป AI ที่ได้รับแรงหนุนจากการใช้งานจริงของโมเดลระดับสูง

ดีลครั้งนี้ระหว่าง Microsoft, Nvidia และ Anthropic แสดงให้เห็นถึงที่ทุกฝ่ายมองว่า AI คือสนามแข่งขันที่ต้องลงทุนมหาศาล ทั้งด้านฮาร์ดแวร์ คลาวด์ และโมเดล การร่วมทุนพันล้านครั้งนี้ไม่เพียงแค่การลงทุนทางการเงิน แต่เป็นการตั้งแท่งหมากสำคัญในเกมแข่งขันระยะยาวของ AI โลก หากดำเนินไปอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์อาจเปลี่ยนรูปแบบของตลาดศูนย์ข้อมูล โมเดล AI และการประยุกต์ใช้งานในองค์กรทั่วโลก

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ทำไม ASML ถึงเป็นหัวใจหลักของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์


หุ้นบริษัท ASML กำลังเป็นที่จับตาของโลก เนื่องจากเป็นผู้ผลิตเครื่อง EUV รายเดียวที่อุตสาหกรรมชิปจำเป็นต้องใช้ บทความนี้วิเคราะห์ความสำคัญ เหตุผลการเติบโต และแนวโน้มในอนาคตของ ASML 

ภาพรวมของหุ้นบริษัท ASML และความสำคัญในตลาดโลก

หุ้นบริษัท ASML กลายเป็นดาวเด่นในตลาดเทคโนโลยีระดับโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะ ASML ไม่ได้เป็นเพียงบริษัทด้านเทคโนโลยีทั่วไป แต่เป็น “ผู้ผูกขาดเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงที่สุดในโลก” ซึ่งก็คือเครื่องพิมพ์ลวดลายชิปแบบ EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) ที่บริษัทชั้นนำอย่าง TSMC, Intel และ Samsung ต่างต้องใช้ในการผลิตชิป 3nm หรือเล็กกว่า ASMLในอนาคต High NA EUV: เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า และเป็นก้าวต่อไปหลังจาก EUV ซึ่งจะช่วยให้การผลิตชิปลดจำนวนขั้นตอนลง ทำให้ได้ชิปที่มีความละเอียดมากขึ้น 

ในโลกที่ทุกอย่างกำลังใช้ชิปไม่ว่าจะเป็นมือถือ รถยนต์ EV ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ความต้องการเครื่องจักรของ ASML จึงพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่มีทีท่าชะลอ ส่งผลให้ราคาหุ้นบริษัท ASML กลายเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจอย่างมาก



ประวัติย่อของ ASML และการเติบโตสู่ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี

ASML เริ่มต้นจากบริษัทในเนเธอร์แลนด์เมื่อปี 1984 ก่อนพัฒนาตัวเองเรื่อย ๆ จนกลายเป็นผู้ผลิตเครื่องโฟโตลิโธกราฟีขั้นสูงรายเดียวในโลก จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อสามารถพัฒนาเทคโนโลยี EUV ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ยังไม่มีบริษัทใดลอกเลียนแบบได้


เทคโนโลยี EUV ของ ASML ที่ทำให้โลกต้องการ

EUV และความแตกต่างจาก DUV

เครื่อง EUV ของ ASML สามารถพิมพ์ลวดลายที่มีความละเอียดระดับนาโนเมตรได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของการผลิตชิปที่มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน

ขณะที่เครื่อง DUV ยังใช้งานได้ดีสำหรับชิปทั่วไป แต่เฉพาะ EUV เท่านั้นที่รองรับเทคโนโลยีขั้นสูงสุดของโลก

1.เหตุผลที่ ASML เป็นผู้ผลิตรายเดียว

2.ต้นทุนวิจัยสูงมหาศาล

3.เทคโนโลยีที่ซับซ้อนไม่มีใครเทียบ

4.ความร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก

กระบวนการผลิตที่ต้องใช้ความแม่นยำระดับอะตอม

กล่าวได้ว่า ASML เป็นบริษัทที่ “ไม่มีตัวแทนทดแทน” ทำให้หุ้นบริษัท ASML ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในหุ้นเทคโนโลยีที่มั่นคงที่สุดในระยะยาว


อิทธิพลของหุ้นบริษัท ASML ต่อเศรษฐกิจโลก

ASML เป็นหนึ่งในเสาหลักของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลกที่มีมูลค่านับล้านล้านดอลลาร์ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจของหลายประเทศ รวมถึงซัพพลายเชนด้าน AI, รถยนต์ไฟฟ้า และการผลิตอุปกรณ์อัจฉริยะ

นักลงทุนจำนวนมากจึงเชื่อมั่นในหุ้น ASML เพราะบริษัทไม่ได้พึ่งกระแสระยะสั้น แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีระดับโลก


ASML กับความมั่นคงทางเทคโนโลยีของประเทศมหาอำนาจ

สหรัฐฯ จีน และยุโรปต่างใช้ ASML เป็นผู้กำหนดทิศทางการแข่งขันด้านเทคโนโลยี เพราะชิปขั้นสูงคือ “อาวุธทางเศรษฐกิจ” ของยุคใหม่ ทำให้ ASML กลายเป็นจุดศูนย์กลางด้านความมั่นคงทางเทคโนโลยี

การจำกัดการส่งออกเครื่อง EUV ไปยังจีนยิ่งทำให้ ASML ถูกจับตามองทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงระดับโลก


วิเคราะห์ศักยภาพ “หุ้นบริษัท ASML” ในปีถัดไป

ปัจจัยที่ช่วยผลักดันการเติบโต

ความต้องการชิปเพื่อรองรับ AI

การขยายโรงงานของ TSMC และ Intel

ความจำเป็นของชิปในทุกอุตสาหกรรม

ความเสี่ยงที่ต้องจับตา

สงครามการค้า

การส่งออกที่ถูกจำกัด

ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น


อย่างไรก็ตาม มุมมองรวมยังคงเป็นบวกอย่างมาก เพราะไม่มีบริษัทใดสามารถทดแทน ASML ได้ในระยะ 10 ปีข้างหน้า

หุ้นบริษัท ASML ถือเป็นหนึ่งในเสาหลักของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลก และยังคงเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนทั่วโลกต้องจับตา ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือการแข่งขันด้านเทคโนโลยีของประเทศมหาอำนาจ

Nvidia Corporation ทุบทุกสถิติ เดือน พ.ย. 2025 – ยืนยันว่า “ฟองสบู่ AI” ยังไม่แตก



ผลประกอบการสุดร้อนแรง

ในไตรมาส 3 ของปี งบการเงิน FY2026 (สิ้นสุด 26 ต.ค. 2025) Nvidia ประกาศรายได้รวมทะลุ 57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้น 62% เมื่อเทียบกับปีก่อน และทำสถิติใหม่ของบริษัท 

ธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) สร้างรายได้ถึงประมาณ 51.2 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 66% จากปีก่อนหน้า บริษัทคาดการณ์ไตรมาสถัดไป (Q4) ไว้สูงถึง 65 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าฐานคาดการณ์ของตลาด




สัญญาณดีต่อตลาด AI และคลายความกลัว “ฟองสบู่”

ซีอีโอ Jensen Huang กล่าวบนการแถลงผลประกอบการว่า: “There’s been a lot of talk about an AI bubble. From our vantage point, we see something very different.”

หลังผลประกอบการประกาศออกมา ตลาดหุ้นเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น โดยหุ้น Nvidia ได้รับแรงหนุน โดยมีการวิเคราะห์ว่า ความกลัวว่าฟองสบู่ AI จะแตกนั้น “ถูกพูดเกินจริง” รายงานจาก Reuters ระบุว่า ผลประกอบการช่วย “บรรเทาความกังวลตลาด” เรื่องฟองสบู่ AI ได้ในช่วงเวลาสำคัญ


อะไรคือปัจจัยขับเคลื่อน

ความต้องการชิป AI และแพลตฟอร์มประมวลผลสูงของ Nvidia ไม่ได้ลดลง หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ถูกยกให้เป็น “ตัวขับเคลื่อน” คือสถาปัตยกรรม Blackwell ซึ่งลูกค้ารายใหญ่ทั่วโลกสั่งอย่างต่อเนื่อง

ศูนย์ข้อมูล (Data Center) ทั้งการฝึกโมเดล AI และการทำงานช่วง inference เติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ธุรกิจ Data Center ของ Nvidia เป็นหัวใจของรายได้โดยรวม คำแนะนำ (guidance) และคำมั่นของบริษัทต่ออนาคตถือว่า “แกร่ง” – ตลาดรับรู้ได้ว่า ไม่ใช่แค่ช่วงบูมชั่วคราว แต่เป็นการปรับตัวสู่ยุคใหม่ของโครงสร้างพื้นฐาน AI


ความท้าทายที่ยังต้องจับตา

แม้ผลลัพธ์จะสดใส แต่ก็มีประเด็นที่ควรติดตาม:แม้ว่าคำว่า “ฟองสบู่” จะถูกลดความรุนแรงลง แต่นักวิเคราะห์บางส่วนยังเตือนว่า การเติบโตระดับสูงไม่สามารถยืนยาวได้โดยไม่มีอุปสรรค ตลาดจีนและเรื่องการส่งออกชิปยังคงมีแรงกดดัน จากข้อจำกัดทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจมีผลต่อการเติบโตในอนาคต 

แนวโน้มการแข่งขันในตลาดชิปและ AI อินฟราสตรักเจอร์มีเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจลดส่วนแบ่งหรือกำไรของบริษัท ในระยะยาว


สำหรับนักลงทุนและผู้ติดตามเทคโนโลยีรายใหญ่ Nvidia ถือเป็น ตัวชี้วัดสำคัญของยุค AI ผลประกอบการในเดือนพฤศจิกายน 2025 ช่วยยืนยันว่า:

การใช้ AI ในระดับองค์กรและศูนย์ข้อมูลยังมีแรงขับเคลื่อนสูง

ความกลัวเรื่องฟองสบู่ AI ได้รับการบรรเทาบ้าง เนื่องจากหลักฐานทางธุรกิจชี้ให้เห็นว่าการเติบโตไม่ได้เป็นแค่ภาพลวง

อย่างไรก็ดี — แม้ช่วงนี้จะยืนยันว่าไม่ใช่ฟองสบู่ในขณะนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีความเสี่ยงเลย การติดตามปัจจัยภายนอกและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐาน AI ยังสำคัญ

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ดัชนีหลักของสหรัฐฯ ต่างขึ้นเล็กน้อย โดย Nvidia ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดก่อนรายงานผลประกอบการ



ภาพรวมตลาดหลังตลาดเปิด

ดัชนี S&P 500 ปิดวันนี้ที่ 6,642.16 จุด เพิ่มขึ้นราว 0.38% 


ดัชนี Nasdaq Composite ปิดที่ 22,564.23 จุด เพิ่มขึ้นประมาณ 0.59% 


ดัชนี Dow Jones Industrial Average ปิดที่ 46,138.77 จุด เพิ่มขึ้นราว 0.10% 


ตลาดโดยรวม ฟื้นขึ้นเล็กน้อย หลังจากที่ผ่านมาอยู่ในช่วงอ่อนแรง และนักลงทุนเฝ้ารอข้อมูลจาก Nvidia และสัญญาณนโยบายการเงิน



ปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาด

ผลประกอบการของ Nvidia: Nvidia ส่งสัญญาณคาดการณ์รายได้ในไตรมาสถัดไปที่สูงกว่าคาด ซึ่งช่วยหนุนความมั่นใจในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และทำให้ตลาดดูมีโอกาสฟื้นตัว 

ความคาดหวังนโยบายดอกเบี้ย: นักลงทุนลดความคาดหวังที่จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมของ Fed เนื่องจากมีสัญญาณว่าดอกเบี้ยอาจไม่ลดเร็วเท่าที่คาด 

ความกังวลเรื่อง “ฟองสบู่” AI: แม้มีข่าวดี แต่นักวิเคราะห์เตือนว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังมีความเสี่ยงจากมูลค่าที่สูงเกินไปและผลตอบแทนที่อาจไม่สม่ำเสมอ 


ปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาด

ผลประกอบการของ Nvidia: Nvidia ส่งสัญญาณคาดการณ์รายได้ในไตรมาสถัดไปที่สูงกว่าคาด ซึ่งช่วยหนุนความมั่นใจในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และทำให้ตลาดดูมีโอกาสฟื้นตัว 

ความคาดหวังนโยบายดอกเบี้ย: นักลงทุนลดความคาดหวังที่จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมของ Fed เนื่องจากมีสัญญาณว่าดอกเบี้ยอาจไม่ลดเร็วเท่าที่คาด 

ความกังวลเรื่อง “ฟองสบู่” AI: แม้มีข่าวดี แต่นักวิเคราะห์เตือนว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังมีความเสี่ยงจากมูลค่าที่สูงเกินไปและผลตอบแทนที่อาจไม่สม่ำเสมอ 

ตลาดรอข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ: รวมถึงรายงานการจ้างงานสหรัฐฯ ซึ่งอาจมีผลต่อทิศทางนโยบายการเงินของ Fed





มุมมองสำหรับนักลงทุน

ในระยะสั้น ตลาดมีโอกาสปรับขึ้น แต่ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะจากปัจจัยภายนอก เช่น นโยบายการเงิน และผลประกอบการของบริษัทใหญ่

นักลงทุนควรระมัดระวัง หุ้นที่มีมูลค่าสูงแบบเกินจริง หรือกลุ่มที่กังวลเรื่องกำไรในอนาคต เพราะแม้ภาพรวมจะดูดี แต่มีความเปราะบางแฝงอยู่

การกระจายความเสี่ยงและติดตาม ข้อมูลเศรษฐกิจ รวมถึงประกาศของ Fed เป็นสิ่งสำคัญในช่วงนี้


สำหรับวันที่ 20 พ.ย. 2025 ตลาดหุ้นอเมริกาสะท้อนทั้งโอกาสและความระมัดระวัง: ดัชนียังขึ้นได้เล็กน้อยโดยได้แรงหนุนจากข่าวดีของ Nvidia แต่ความกังวลเกี่ยวกับมูลค่าและนโยบายการเงินยังคงอยู่ นักลงทุนจึงควรใช้โอกาสนี้ทบทวนนโยบายของตัวเอง และเตรียมพร้อมรับความผันผวนได้

Video

lungmieและทีมงาน

เว็บไซต์นี้เกี่ยวกับข่าวสารบทความที่หลากหลายการเงินการลงทุนและเรื่องจิปาถะ

ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์