ในยุคที่การลงทุนเข้าถึงง่ายขึ้น หลายคนเริ่มคุ้นเคยกับคำว่า DCA (Dollar-Cost Averaging) หรือ “การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน” แต่บางคนอาจเคยได้ยินคำใหม่อย่าง EDCA (Enhanced Dollar-Cost Averaging) แล้วสงสัยว่า “มันต่างจาก DCA ยังไง?”
บทความนี้จะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ว่า EDCA กับ DCA ต่างกันอย่างไร และแบบไหนเหมาะกับคุณมากกว่า
📘 DCA คืออะไร?
DCA (Dollar-Cost Averaging) คือกลยุทธ์ลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน โดยนักลงทุนจะ “ลงทุนด้วยจำนวนเงินคงที่” ทุกงวด เช่น ทุกเดือน 1,000 บาท โดยไม่สนว่าราคาหุ้นหรือกองทุนจะขึ้นหรือลง
ข้อดีของ DCA:
หมาะกับมือใหม่และคนไม่มีเวลาเฝ้าตลาด
ลดความเสี่ยงจากการซื้อแพงในช่วงตลาดพุ่ง
ช่วยสร้างวินัยในการลงทุนระยะยาว
ข้อเสียของ DCA:
ไม่ได้ใช้โอกาสให้เต็มที่ในช่วงที่ราคาตก
ผลตอบแทนเฉลี่ยอาจไม่สูงเท่าการลงทุนแบบจับจังหวะตลาดได้ดี
📗 EDCA คืออะไร?
EDCA (Enhanced Dollar-Cost Averaging) คือ “DCA เวอร์ชันอัปเกรด” ที่ ปรับจำนวนเงินลงทุนตามสภาวะตลาด
โดยหลักการคือ ถ้าราคาหุ้นหรือกองทุน ลดลง → ลงทุนมากขึ้น
แต่ถ้าราคา สูงขึ้น → ลงทุนน้อยลง
เช่น
เดือนนี้กองทุนราคาแพง ลงทุน 800 บาท
เดือนหน้า ราคากองทุนลดลง ลงทุนเพิ่มเป็น 1,200 บาท
ข้อดีของ EDCA:
ใช้ประโยชน์จากการ “ซื้อของถูกมากขึ้น” ได้จริง
ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยต่ำลงในระยะยาว
ให้ผลตอบแทนที่อาจดีกว่า DCA หากใช้สูตรหรือระบบที่ดี
ข้อเสียของ EDCA:
ต้องมีการคำนวณหรือใช้สูตรปรับเงินลงทุน
เหมาะกับคนที่มีความเข้าใจตลาดและมีวินัยสูง
อาจซับซ้อนกว่าสำหรับมือใหม่
| รายการ | DCA | EDCA |
|---|---|---|
| จำนวนเงินลงทุนแต่ละงวด | คงที่เสมอ | ปรับตามราคาหรือสภาวะตลาด |
| ความซับซ้อน | น้อย | ปานกลางถึงมาก |
| เหมาะกับใคร | มือใหม่คนไม่มีเวลา | นักลงทุนมีประสบการณ์, เน้นเพิ่มผล ตอบแทน |
| โอกาสสร้างผลตอบแทน | ปานกลาง | สูงกว่า (ถ้าใช้กลยุทธ์ถูกต้อง) |
| ความเสี่ยง | ต่ำถึงปานกลาง | ปานกลางถึงสูง (ถ้าปรับผิดจังหวะ) |



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น